การตรวจสุขภาพมักเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำทุกปี แต่การตรวจโรคบางประเภทกลับไม่ค่อยมีคนนิยมตรวจ หรือให้ความสำคัญมากนักแม้จะมีความจำเป็นเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ครับ
หมอพบว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเขินอาย ไม่กล้าเข้ามาปรึกษา หรือกังวลว่าการตรวจโรคติดต่อทางเพศจะน่ากลัวหรือเจ็บปวด แต่หมออยากจะบอกว่าการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นการดูแลสุขภาพที่สำคัญอย่างยิ่ง ช่วยให้เราสามารถป้องกันและรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีครับ
สารบัญบทความ
ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำคัญอย่างไร?

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่ดี แต่หลายคนอาจมองข้ามไป การตรวจคัดกรองนี้มีประโยชน์อย่างมากเลยครับ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs : Sexually Transmitted Diseases หรือ STIs : Sexually Transmitted Infections) ส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ดังนั้นการตรวจ STD คือ การตรวจเพื่อหาเชื้อต่าง ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่อาการจะรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ครับ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีโรคอะไรบ้าง?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลายชนิดครับ ทั้งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต เช่น
- โรคติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) : ในช่วงแรกของการติดเชื้อภายใน 2-4 สัปดาห์ คนไข้ส่วนมากมีอาการไข้ขึ้น ผื่น เจ็บคอ และต่อมน้ำเหลืองโต โดยมีอาการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ในคนไข้บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ หลังจากผ่านช่วงแรกของการติดเชื้อ เชื้อ HIV จะยังคงอาศัยอยู่ในร่างคนไข้และจะค่อย ๆ ทำลายระบบภูมิคุ้มกันเป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี ทำให้คนไข้มีร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
- เชื้อไวรัสจะทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่าย
- โรคเริม (Herpes Simplex Virus) : โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มักแสดงอาการเป็นตุ่มน้ำใส ๆ บริเวณอวัยวะเพศ หรือรอบ ๆ ปาก อาจมีอาการคันบริเวณตุ่ม เมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะมีอาการแสบร่วมด้วยครับ
- โรคหนองในแท้และหนองในเทียม (Gonorrhea และ Chlamydia) : โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria Gonorrhoeae และ Chlamydia trachomatis ทำให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เมื่อติดเชื้อคนไข้อาจมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น ปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลออกมา หรือตกขาวผิดปกติ เป็นต้น หากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกวิธีทำให้รักษาไม่หายขาด กลายเป็นโรคเรื้อรัง จะมีโอกาสทำให้คนไข้เป็นได้ครับ
- โรคซิฟิลิส (Syphilis) : โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ลักษณะโรคในระยะเริ่มต้นจะปรากฎเป็นแผลริมแข็งที่ปากหรืออวัยวะเพศ หลังจากนั้นแผลจะหายเองได้ แต่ยังคงมีเชื่อซ่อนอยู่ในร่างกายของคนไข้ เชื้อเหล่านี้จะค่อย ๆ ทำลายอวัยวะภายในร่างกาย เช่น หัวใจ หลอดเลือด และระบบประสาท ทำให้คนไข้เสียชีวิตครับ
- โรคหูดหงอนไก่ (Human Papillomavirus – HPV) : เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดติ่งเนื้อคล้ายหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก และยังเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงอีกด้วย
- โรคพยาธิช่องคลอง (Trichomoniasis) : เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis ทำให้คนไข้มีอาการตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการคันและตกขาวเป็นฟองร่วมด้วย
จะเห็นได้ว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด ถ้าติดเชื้อแล้วไม่ทำการรักษาอาจทำให้มีอันตรายได้ และมีหลายโรคที่ไม่แสดงอาการในช่วงแรก ดังนั้นการเช็กสุขภาพตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ตรวจพบโรคและรักษาได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้คนไข้หายขาดได้และไม่นำเชื้อโรคไปแพร่สู่คนรักหรือคู่นอนครับ
อาการทั่วไปที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง
แม้ว่าหลายโรคจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่บางครั้งอาจมีอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองครับ เช่น
- มีผื่น ตุ่ม หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก
- ปัสสาวะแสบขัด หรือเจ็บขณะปัสสาวะ
- มีหนอง หรือสารคัดหลั่งผิดปกติจากอวัยวะเพศ
- มีอาการเจ็บปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีอาการคันหรือระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ
หากมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ามารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ติดเชื้อใด ๆ ครับ การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังช่วยคลายความกังวล และทำให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมครับ
ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจ?
หมอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้พิจารณาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นพิเศษครับ
- ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หรือมีคู่นอนหลายคน
- ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
- ผู้ที่ทราบว่าคู่นอนของตนเองมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ผู้หญิงที่กำลังวางแผนจะมีบุตร ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อก่อนตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งได้รับความเสี่ยงจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้อื่น ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเชื้อโรคบางชนิด เช่น HIV หากได้รับความเสี่ยงมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง สามารถรับยาต้านไว้รัสเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้ครับ
หากสงสัยว่ามีอาการผิดปกติใด ๆ ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดครับ
ขั้นตอนการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าอายครับ โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาไม่นาน ขั้นตอนก็ไม่ซับซ้อน หมอจะอธิบายให้ฟังถึงการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ละวิธี เพื่อให้คนไข้เข้าใจมากขึ้นครับ
1. ตรวจเลือด (Blood Test)
การตรวจเลือดเป็นการตรวจที่ใช้กันบ่อยที่สุดในกระบวนการ STD Test โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดจากข้อพับแขน เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อโรคบางชนิด เช่น ซิฟิลิส HIV และไวรัสตับอักเสบบี การตรวจเลือดเป็นการตรวจโรคติดต่อที่แม่นยำและรวดเร็วครับ
2. ตรวจปัสสาวะ (Urine Test)
การตรวจ STD ด้วยวิธีนี้ทำได้ง่ายครับ เหมาะสำหรับการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียงหนองในแท้และเทียม โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโรคแบบ PCR (Polymerase Chain Reaction) ซึ่งมีความแม่นยำสูงและเหมาะสำหรับคุณผู้ชาย เนื่องจากส่วนใหญ่เชื้อหนองในจะอยู่ในท่อปัสสาวะของคุณผู้ชายครับ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ตรวจคุณผู้หญิงเนื่องจากเชื้อหนองในส่วนใหญ่จะอยู่ที่ปากมดลูกครับ
3. ตรวจสารคัดหลั่ง (Swab / Fluid Test)
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์วิธีนี้ หมอจะใช้สำลีก้านขนาดเล็กเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากบริเวณที่มีการติดเชื้อ เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ หรือลำคอ เพื่อนำไปวิเคราะห์หาเชื้อโดยใช้วิธี PCR โดยการตรวจนี้จะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่ต้องการตรวจหาเชื้อหนองใน โดยคุณหมอจะตรวจภายในและ Swab บริเวณปากมดลูกครับ หรือในผู้ป่วยที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศก็สามารถ Swab จากแผลไปตรวจหาเชื้อเริมหรือเชื้อแผลริมอ่อนได้เช่นครับ
ผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บอกอะไรได้บ้าง?
ผลการตรวจ STD จะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท วิธีการอ่านผลไม่ซับซ้อน หมอจะอธิบายให้ฟังครับ
Negative
ผล “Negative” หรือ “ลบ” หมายความว่าไม่พบการติดเชื้อในร่างกายครับ ถือว่าปกติ อย่างไรก็ตามการที่ผลตรวจปกติ เราอย่าพึ่งชะล่าใจนะครับ ต้องถามคุณหมอด้วยว่าระยะฟักตัวของการตรวจ (Window period) นานกี่วัน ซึ่งถ้าเรามีความเสี่ยงมาไม่นานเท่าระยะฟักตัวของการตรวจ แบบนี้อาจจะมีการติดเชื้อแต่ยังตรวจไม่พบก็ได้ครับ หมอขอยกตัวอย่าง เช่น ตรวจเลือดหาการติดเชื้อ HIV แบบ 4th generation anti HIV จะมีระยะฟักตัวของการตรวจประมาณ 30 วัน ดังนั้น ถ้าเรามีความเสี่ยงมาไม่ถึง 30 วันแล้วตรวจเลือดไม่พบการติดเชื้อ แบบนี้คุณหมอก็จะนัดมาตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจครับ
Positive
ผล “Positive” หรือ “บวก” หมายถึงพบการติดเชื้อในร่างกาย แต่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะการตรวจโรคติดต่อจะช่วยให้พบเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วครับ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือสามารถควบคุมอาการไม่ให้กำเริบได้ด้วยยาครับ
Inconclusive
บางครั้งผลการตรวจ STD อาจออกมาไม่ชัดเจน หรือ “Inconclusive” ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปริมาณเชื้อในร่างกายยังน้อยเกินไป หรือมีปัจจัยอื่น ๆ ที่รบกวนการตรวจ หากเป็นเช่นนี้ หมออาจนัดให้คนไข้กลับมาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซ้ำ หรือใช้วิธีการตรวจอื่นที่ละเอียดมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจนที่สุดครับ
ก่อนตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

เพื่อให้ผลการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีความแม่นยำมากที่สุด หมอแนะนำให้คนไข้เตรียมตัวตามนี้ครับ
- งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งมีสิ่งเจือปน
- สำหรับผู้หญิง ควรหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ
- หากมีอาการเจ็บป่วยต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาฆ่าเชื้ออยู่ ควรงดก่อนชั่วคราว หรือปรึกษาแพทย์ก่อนตรวจโรคติดต่อ
- หากเป็นการตรวจปัสสาวะเพื่อหาหนองในแท้ หนองในเทียม ควรงดปัสสาวะ 1-2 ชั่วโมง ก่อนมาตรวจ
- จดบันทึกคำถามหรืออาการที่สงสัย จดวันที่อาจสัมผัสโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อสอบถามแพทย์ในวันตรวจ จะทำให้การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดครับ
ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อชีวิตคู่ที่ปลอดภัย
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและคู่รัก หลายคนอาจจะเขินอายกลัวการตรวจภายใน แต่หมอขอยืนยันว่าการตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดครับ การมาปรึกษาและเข้ารับการตรวจกับแพทย์เฉพาะทางอย่างสูตินรีแพทย์ จะทำให้คนไข้คลายความกังวล และได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องครับ
ที่ธนวรรธน์ คลินิก สุขภาพสตรีและดูแลครรภ์ เรามีบริการตรวจภายในและตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ครบครัน โดยแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช มีทั้งแพทย์หญิงและแพทย์ชายเพื่อความสบายใจของคนไข้ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคนไข้ทุกคนด้วยความเข้าใจและเป็นมิตรครับ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
- Facebook : Thanawat Clinic
- Line : @thanawatclinic
- Tel : 095-056-6446
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
คนไข้หลายคนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมาย หมอรวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบมาให้แล้วครับ
ผลการตรวจใช้เวลานานเท่าไร?
โดยทั่วไป ผลการตรวจ STD จะใช้เวลาไม่นานครับ ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ เช่น การตรวจเลือดดูการติดเชื้อ HIV ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี-ซี ใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง ส่วนการตรวจหาเชื้อหนองในแบบ PCR ใช้เวลา 1-3 วันก็ทราบผลแล้วครับ
ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำอย่างไรได้บ้าง?
วิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงคือ การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยครับ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การมีคู่นอนคนเดียว และการเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอครับ
มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยแสดงอาการไหม อะไรบ้าง?
มีครับ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะแรกเลย เช่น โรคหนองในเทียมในผู้หญิง และการติดเชื้อ HIV การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวครับ
References
How does STD testing work?. (n.d.). Retrieved from https://www.plannedparenthood.org/learn/stds-hiv-safer-sex/get-tested/how-does-std-testing-work
STI Testing (STD Testing). (2023). Retrieved from https://my.clevelandclinic.org/health/diagnostics/std-testing
Sexually Transmitted Infection (STI) Tests. (n.d.). Retrieved from https://medlineplus.gov/lab-tests/sexually-transmitted-infection-sti-tests/
Which STD Tests Should I Get ? And when ?. (2023). Retrieved from https://www.medicalporttunccevik.com/en/which-std-tests-should-i-get-and-when/