ในฐานะที่เป็นหมอเฉพาะทางด้านสุขภาพสตรีมามากกว่า 10 ปี หมอเข้าใจดีครับว่าผู้หญิงมักจะกังวลและกลัวการตรวจภายในและมะเร็งปากมดลูก บางคนก็เขินอาย บางคนก็กลัวเจ็บ จึงทำให้ผู้หญิงหลายคนกลัวและไม่ยอมตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปี ซึ่งจริงๆแล้วมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในผู้หญิงไทยเลยครับ
จริง ๆ แล้วการตรวจมะเร็งปากมดลูกไม่ได้น่ากลัวเลยครับและใช้เวลาไม่นาน ซึ่งปัจจุบันการตรวจมะเร็งปากมดลูกมีหลายวิธี บทความนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังว่ามีการตรวจวิธีไหนบ้าง แต่ละวิธีมีขั้นตอนและข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร คนไข้จะได้เข้าใจการตรวจและไม่ต้องกังวลอีกต่อไปครับ
สารบัญบทความ
ตรวจมะเร็งปากมดลูก มีความสำคัญอย่างไรบ้าง
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ในผู้หญิงไทยเลยครับ แต่ก็เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การตรวจมะเร็งปากมดลูกจึงไม่เพียงแต่ช่วยคัดกรองความเสี่ยง แต่ยังช่วยให้หมอสามารถวินิจฉัย และวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงทีครับ
มะเร็งปากมดลูกมีกี่ระยะ?
มะเร็งปากมดลูกสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ๆ ครับ
- ระยะที่ 1 (Stage I) : เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ปากมดลูกเท่านั้นครับ โดยอาจแบ่งย่อยออกเป็นระยะ 1A และ 1B ตามขนาดและความลึกของการลุกลาม
- ระยะที่ 2 (Stage II) : ในระยะนี้ มะเร็งจะเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงแล้วครับ เช่น ช่องคลอดส่วนบนหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังอุ้งเชิงกราน
- ระยะที่ 3 (Stage III) : มะเร็งลุกลามไปยังผนังอุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจกดทับท่อไตจนระบบปัสสาวะอุดตัน หรือลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองได้ครับ
- ระยะที่ 4 (Stage IV) : มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น กระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ครับ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกให้สูงขึ้นได้ครับ
- ติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง
- มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
- มีคู่นอนหลายคน
- การสูบบุหรี่
- มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
- มีโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส, Chlamydia
ควรตรวจมะเร็งปากมดลูกอายุเท่าไหร่ และบ่อยแค่ไหน?
หมอแนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และเคยมีเพศสัมพันธ์ เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอครับ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์แนะนำให้เริ่มตรวจเมื่ออายุ 30 ปี แต่หากอยากตรวจก่อนหน้านั้นก็สามารถมาตรวจมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกันครับ
ส่วนความถี่ในการตรวจที่เหมาะสมคือ ประมาณทุก 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับผลการตรวจครั้งล่าสุด วิธีการตรวจและปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล เช่น หากเป็นผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจต้องตรวจทุก 6 -12 เดือนครับ
แต่หากคนไข้สังเกตเห็นอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจโดยเร็วที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงกำหนดตรวจก็ควรรีบมาพบแพทย์ได้เลยนะครับ
- มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด เช่น เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกแม้ไม่อยู่ในช่วงประจำเดือน
- มีอาการปวดท้องน้อยขณะมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวมีปริมาณมาก สีผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน
- น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเบื่ออาหารหรือเหนื่อยง่าย
- ประจำเดือนมาผิดปกติ
- มีเลือดปนในปัสสาวะหรืออุจจาระ
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ใช้บ่อยมีกี่วิธี?

คนไข้อาจสงสัยว่าตรวจมะเร็งปากมดลูกมีกี่แบบ แต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง ปัจจุบันการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่นิยมจะมี 5 วิธีด้วยกันครับ ซึ่งประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไป หมอจะอธิบายให้ฟังทีละวิธีครับ
1. การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)
การตรวจแปปสเมียร์ คือวิธีตรวจมะเร็งปากมดลูกที่คลาสสิกและเป็นที่รู้จักมากที่สุดครับ แพทย์จะใช้ไม้พายหรือแปรงขนาดเล็กเก็บตัวอย่างเซลล์จากบริเวณปากมดลูก นำไปป้ายลงบนสไลด์แก้วแล้วย้อมสี และส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายไม่สูง และแพร่หลายในทุกสถานพยาบาล แต่มีความแม่นยำประมาณ 60% ซึ่งถือว่าน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ เช่น วิธี Liquid-based cytology กับวิธี HPV DNA ครับ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการตรวจคือหากมีเลือดออกที่ปากมดลูก จะไม่สามารถตรวจด้วยวิธีนี้ได้ เพราะจะทำให้เม็ดเลือดแดงปนเปื้อนที่สไลด์แก้วและบดบังเซลล์ปากมดลูก กรณีที่ตรวจ Pap Smear แล้วผลปกติ แนะนำให้ตรวจทุก 1 ปี
2. การตรวจแบบ Liquid-based cytology หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกกันคือ ThinPrep Pap Test
เป็นวิธีการตรวจเซลล์ปากมดลูกเหมือนกับแปปสเมียร์ แต่พัฒนาขั้นตอนการเก็บให้ดีกว่า โดยตัวอย่างเซลล์ปากมดลูกจะถูกเก็บโดยใช้แปรงหรืออุปกรณ์ปาดเซลล์ แล้วนำไปจุ่มในขวดน้ำยาพิเศษเพื่อให้เซลล์ปากมดลูกคงสภาพไว้และช่วยกำจัดสิ่งรบกวน เช่น เม็ดเลือดแดง และมูก เป็นต้น หลังจากนั้นเซลล์ปากมดลูกจะถูกนำมาเรียงบนสไลด์แก้วอย่างเป็นระเบียบ ไม่ซ้อนทับกัน ทำให้การอ่านผลมีความแม่นยำประมาณ 75-80% ครับ ซึ่งถือว่าสูงกว่าแปปสเมียร์ กรณีที่ตรวจ Liquid-based Cytology แล้วผลปกติ แนะนำให้ตรวจทุก 1-2 ปีครับ
3. การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV (HPV DNA Test)
เนื่องจากสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีนี้จึงเป็นการตรวจหาสาเหตุโดยตรงครับ โดยการตรวจ HPV เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 25 ปีขึ้นไปครับ ข้อดีคือมีความแม่นยำสูงประมาณ 90-95% สามารถระบุสายพันธุ์ของ HPV ได้ และหากตรวจพบเชื้อก็จะมีประโยชน์ทำให้คุณหมอสามารถวางแผนการตรวจรักษาได้ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกครับ กรณีที่ตรวจ HPV DNA แล้วผลปกติ แนะนำให้ตรวจทุก 3 ปี
4. การตรวจ Liquid-based cytology ร่วมกับการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV โดยเรียกรวมกันว่า Co-testing
วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดประมาณ 95-99% หากตรวจแล้วผลปกติ คือไม่พบการติดเชื้อ HPV และไม่พบเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก ถือว่าโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อยมาก ๆ ค่อยตรวจซ้ำอีกที 3-5 ปีได้เลย โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจก็จะสูงขึ้นตามความแม่นยำของผลตรวจครับ
5. การตรวจส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy)
การตรวจส่องกล้องปากมดลูกเป็นการใช้กล้องกำลังขยายสูง 40 เท่า ส่องดูความผิดปกติของปากมดลูกแบบเจาะลึกครับ ทำให้คุณหมอตรวจเห็นรอยโรคและการติดสีที่ผิดปกติบริเวณปากมดลูกได้ชัดเจนกว่าการตรวจภายในทั่วไป โดยมีข้อบ่งชี้การตรวจในคนไข้ที่ตรวจพบการติดเชื้อ HPV หรือพบเซลล์ปากมดลูกผิดปกติครับ และหากตอนส่องกล้องปากมดลูกพบว่ามีรอยโรคที่ผิดปกติ คุณหมอก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจเพิ่มเติมด้วยครับ
ตรวจมะเร็งปากมดลูก เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อม
การเตรียมตัวตรวจมะเร็งปากมดลูกไม่ใช่เรื่องยากครับ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การตรวจเป็นไปอย่างราบรื่น และแม่นยำมากขึ้นครับ
- ไม่ตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน : ควรตรวจในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน หรือหลังจากประจำเดือนหมดไปแล้ว 7-10 วัน เพื่อให้ได้ผลตรวจที่แม่นยำ
- งดกิจกรรมที่มีผลกับช่องคลอด : งดมีเพศสัมพันธ์ งดสวนล้างช่องคลอด ไม่โกนขนบริเวณอวัยวะเพศ และไม่ใช้ยาเหน็บช่องคลอดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนการตรวจ
- ทำใจให้สบาย : ไม่ต้องกังวล หากรู้สึกเขินหรือกลัวเจ็บ สามารถแจ้งให้คุณหมอทราบได้เลยครับ
- การแต่งกาย : สวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ถอดและสวมใส่ได้ง่าย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
- ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ : เนื่องจากเป็นการตรวจภายใน การทานอาหารและน้ำจึงไม่มีผลกระทบ สามารถรับประทานได้ตามปกติครับ
ตรวจมะเร็งปากมดลูกที่ไหนดี?
การตรวจมะเร็งปากมดลูกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญ อย่าปล่อยให้ความกังวลหรือความกลัวมาบดบังการดูแลสุขภาพ
การทำความเข้าใจเรื่องการตรวจมะเร็งปากมดลูกจะช่วยให้คนไข้เตรียมตัวพร้อมรับการตรวจ หากมีอาการผิดปกติใด ๆ หรือต้องการปรึกษาเรื่องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สามารถติดต่อบริการตรวจภายในที่ธนวรรธน์ คลินิกได้เลยนะครับ โดยการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่คลินิกจะรอผลการตรวจประมาณ 5-7 วันครับ
ที่ธนวรรธน์ คลินิก ให้บริการตรวจสุขภาพสตรีและดูแลครรภ์โดยแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช มีทั้งแพทย์หญิงและชาย เลือกตรวจได้ตามความต้องการ พร้อมให้บริการและคำปรึกษาด้วยความห่วงใยเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไข้ครับ
ติดต่อได้ที่
- Facebook : Thanawat Clinic
- Line : @thanawatclinic
- Tel : 095-056-6446
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
คนไข้หลายคนอาจมีข้อสงสัยเรื่องการตรวจมะเร็งปากมดลูก หมอจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบมาให้ เพื่อคนไข้จะได้หายความกังวลใจก่อนเข้ารับการตรวจครับ
ตรวจมะเร็งปากมดลูกเจ็บไหม?
คำถามยอดฮิตที่คนไข้ถามกันบ่อยที่สุดคือ ตรวจมะเร็งปากมดลูก เจ็บไหม โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการตรวจไม่เจ็บครับ แต่คนไข้อาจรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยหรือรู้สึกตึง ๆ ในช่วงที่หมอสอดเครื่องมือเข้าไปในช่องคลอดเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่รู้สึกเจ็บมักเกิดจากการที่คนไข้เกร็งหรือขมิบช่องคลอดโดยไม่รู้ตัว หากมีความกลัวเรื่องนี้สามารถแจ้งคุณหมอก่อนตรวจได้ครับ คุณหมอจะได้ค่อย ๆ ตรวจด้วยความนุ่มนวล
หลังเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก ต้องปฏิบัติอย่างไร?
หลังจากตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คนไข้อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อยในช่วง 3-4 วันแรก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและไม่ต้องกังวลครับ หากเลือดออกมากผิดปกติ หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที นอกจากนี้ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น งดมีเพศสัมพันธ์ ห้ามสวนล้างช่องคลอด หรือใช้ยาเหน็บช่องคลอดในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปากมดลูกอย่างไรได้บ้าง?
การลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้หลายวิธีครับ
- ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV : การฉีดวัคซีนถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกครับ
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย : การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ครับ
- เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ : การตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำอย่างน้อยทุก 1-2 ปี จะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ก่อนเป็นมะเน็งหรือมะเร็งระยะเริ่มต้น และทำให้การรักษาได้ผลดีขึ้น ช่วยให้หายขาดจากมะเร็งปากมดลูกได้ครับ
- งดสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งชนิดอื่น ๆ ครับ
References
Cervical Cancer Screening.(2025). Retrieved from https://www.cancer.gov/types/cervical/screening
Mayo Clinic Staff. (2025). Cervical cancer.Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cervical-cancer/symptoms-causes/syc-20352501
Cervical screening (smear test).(n.d.). Retrieved from https://www.nhs.uk/tests-and-treatments/cervical-screening/
Cervical cancer. (2024). Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cervical-cancer

